ฟิลเลอร์เป็นก้อน เกิดจากสาเหตุไหนได้บ้าง

ฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มที่นิยมใช้ในวงการความงามเพื่อเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก หรือปรับรูปหน้าให้ดูสมดุล สารฟิลเลอร์ที่นิยมใช้มากที่สุดคือ Hyaluronic Acid ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายผลิตได้เองตามธรรมชาติ ทำให้ฟิลเลอร์ชนิดนี้เข้ากับเนื้อเยื่อของร่างกายได้ดี และมีความปลอดภัยสูง

ประโยชน์ของการฉีดฟิลเลอร์

  1. ลดริ้วรอย – ฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มร่องลึกที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของผิวหนัง เช่น ร่องแก้ม ริ้วรอยใต้ตา ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์ขึ้น
  2. ปรับรูปหน้า – การฉีดฟิลเลอร์ยังสามารถใช้เพื่อเสริมโครงหน้า เช่น เติมคาง เสริมจมูก หรือทำให้หน้าดูเรียวได้ตามที่ต้องการ
  3. เพิ่มความชุ่มชื้น – ฟิลเลอร์ชนิด Hyaluronic Acid ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวดูสดใส มีน้ำมีนวล
  4. ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและฟื้นตัวไว – ฟิลเลอร์สามารถให้ผลลัพธ์ได้ทันทีหลังฉีด และมีระยะเวลาฟื้นตัวไม่นาน

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์

  • ไม่ต้องผ่าตัด – การฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีที่ไม่ต้องทำการผ่าตัด ไม่มีบาดแผลขนาดใหญ่
  • ผลลัพธ์ทันใจ – สามารถเห็นผลได้ทันทีหลังการฉีด
  • ปรับแต่งได้ง่าย – หากต้องการเติมเพิ่มหรือปรับแต่งเล็กน้อย สามารถทำได้โดยสะดวก

ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์

  • ผลลัพธ์ไม่ถาวร – ฟิลเลอร์มีอายุการใช้งานประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับประเภทของฟิลเลอร์และตำแหน่งที่ฉีด
  • ความเสี่ยงต่อการแพ้หรืออักเสบ – บางคนอาจเกิดอาการแพ้ หรือมีการอักเสบหลังจากฉีดฟิลเลอร์
  • ฟิลเลอร์เป็นก้อน – หากฉีดฟิลเลอร์ไม่ถูกวิธีหรือเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้ฟิลเลอร์เป็นก้อน เกิดการจับตัวไม่สม่ำเสมอ ทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติ
  • ฟิลเลอร์เป็นก้อน เกิดจากสาเหตุไหนได้บ้าง

ฟิลเลอร์เป็นก้อนเกิดจากอะไร?

ฟิลเลอร์เป็นก้อนอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ฉีดผิดชั้นผิว การใช้ปริมาณฟิลเลอร์ที่มากเกินไป หรือการกระจายฟิลเลอร์ไม่สม่ำเสมอ รวมถึงอาจเกิดจากการนวดหรือการขยี้ใบหน้าแรง ๆ หลังฉีด ทำให้ฟิลเลอร์จับตัวกันเป็นก้อน

บริเวณที่สามารถฉีดฟิลเลอร์ได้

ฟิลเลอร์เป็นก้อน เกิดจากสาเหตุไหนได้บ้าง

ฟิลเลอร์สามารถฉีดเพื่อแก้ไขหรือเสริมเติมหลายบริเวณบนใบหน้า โดยเฉพาะจุดที่มีปัญหาหรือจุดที่ต้องการปรับรูปหน้าให้สมส่วนมากขึ้น ดังนี้:

  • ใต้ตา – ช่วยลดริ้วรอยและรอยหมองคล้ำ ทำให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น ปกติจะใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 0.5-1 cc ขึ้นอยู่กับระดับของรอยลึก
  • ร่องแก้ม – เติมเต็มร่องลึกเพื่อให้หน้าดูอิ่มเอิบและลดรอยร่องที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของผิว ใช้ปริมาณประมาณ 1-2 cc ในแต่ละข้างตามความลึกของร่อง
  • คาง – ฉีดฟิลเลอร์เพื่อเสริมคางให้ดูสมส่วน หรือทำให้ใบหน้าดูเรียวเป็นรูปตัว V ส่วนใหญ่ใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1-2 cc เพื่อให้ได้รูปคางที่ต้องการ
  • จมูก – ใช้ปรับรูปทรงจมูกให้ดูมีสันสวยโดยไม่ต้องผ่าตัด ปริมาณที่ใช้มักอยู่ที่ 0.5-1 cc ขึ้นอยู่กับรูปทรงจมูกที่ต้องการ
  • ริมฝีปาก – เติมฟิลเลอร์เพื่อให้ปากดูอิ่มเอิบ มีรูปทรงชัดเจนและมีเสน่ห์มากขึ้น ใช้ปริมาณประมาณ 0.5-1 cc เพื่อให้ปากดูอิ่มแต่ไม่หนาเกินไป
  • หน้าผาก – ใช้เติมเต็มหน้าผากเพื่อให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น และปรับโครงหน้าที่ดูมีมิติ โดยปกติจะใช้ประมาณ 1-3 cc ในแต่ละบริเวณเพื่อเติมเต็มตามที่ต้องการ
  • ขมับ – ช่วยเติมเต็มขมับที่ตอบหรือแบน ทำให้หน้าดูอิ่มเอิบและสดใส และจะใช้ประมาณเดียวกันกับ หน้าผาก

วิธีการแก้ไขหากฟิลเลอร์เป็นก้อน

  1. การนวดปรับตำแหน่ง – หากฟิลเลอร์เป็นก้อนเล็กน้อย การนวดเบา ๆ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอาจช่วยกระจายฟิลเลอร์ให้เนียนขึ้น
  2. การฉีดยาสลายฟิลเลอร์ – ในกรณีที่ฟิลเลอร์เป็นก้อนมากและไม่สามารถนวดแก้ไขได้ แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดยาสลายฟิลเลอร์ ซึ่งเป็นสารที่สามารถย่อยสลายฟิลเลอร์ชนิด Hyaluronic Acid ได้ ทำให้ฟิลเลอร์ที่เป็นก้อนสลายไป
  3. รอให้ฟิลเลอร์สลายไปเองตามธรรมชาติ – หากฟิลเลอร์เป็นก้อนที่ไม่ใหญ่มาก บางคนอาจเลือกวิธีการรอให้ฟิลเลอร์สลายไปเอง แต่ต้องอาศัยระยะเวลาหลายเดือน

คำแนะนำในการป้องกันไม่ให้ฟิลเลอร์เป็นก้อน

  • เลือกคลินิกและแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ และใช้ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำหลังการฉีดฟิลเลอร์ เช่น หลีกเลี่ยงการนวดหรือขยี้ใบหน้าแรง ๆ ภายใน 24-48 ชั่วโมงแรก
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ และห้ามออกกำลังกายหนัก ๆ หรือสัมผัสกับความร้อนสูงในช่วง 1-2 วันหลังการฉีด

ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานหรือฟิลเลอร์ปลอม

ฟิลเลอร์เป็นก้อน เกิดจากสาเหตุไหนได้บ้าง

การใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานหรือฟิลเลอร์ปลอมอาจก่อให้เกิดผลเสียรุนแรงและความเสี่ยงต่อสุขภาพสูง ดังนี้:

  • สารประกอบไม่ปลอดภัย – ฟิลเลอร์ปลอมมักมีส่วนประกอบที่ไม่ปลอดภัย เช่น ซิลิโคนเหลว หรือสารที่ไม่ผ่านการรับรอง ทำให้มีโอกาสเกิดการแพ้หรืออักเสบสูง
  • การติดเชื้อ – ฟิลเลอร์ปลอมไม่ได้ผ่านกระบวนการผลิตที่ปลอดเชื้อ และอาจมีการปนเปื้อนแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอักเสบที่รุนแรง และอาจต้องผ่าตัดเอาฟิลเลอร์ออก
  • เกิดก้อนเนื้อแข็งใต้ผิว – ฟิลเลอร์ปลอมมักจะไม่กระจายตัวได้ดี ทำให้เกิดการจับตัวเป็นก้อนที่ผิวหนัง ทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติ และบางครั้งอาจต้องผ่าตัดเพื่อนำออก
  • อันตรายต่อเส้นเลือด – การฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานมีโอกาสสูงที่จะฉีดเข้าไปในเส้นเลือด ทำให้เกิดอาการบวมแดง ติดเชื้อ หรือร้ายแรงกว่านั้นคือตาบอดถ้าหากเกิดขึ้นใกล้กับบริเวณตา

วิธีการตรวจสอบฟิลเลอร์ที่ปลอดภัย

  • เลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ – ควรเลือกคลินิกที่มีการรับรองมาตรฐาน มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีใบประกอบวิชาชีพ
  • ขอฟิลเลอร์ที่มีอย.รับรอง – ควรตรวจสอบว่าฟิลเลอร์ที่ใช้มีการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) และสามารถขอให้แพทย์แสดงกล่องฟิลเลอร์เพื่อดูรายละเอียดได้
  • สังเกตฉลากและบรรจุภัณฑ์ – ฟิลเลอร์ที่มีมาตรฐานจะมีฉลากชัดเจน มีบรรจุภัณฑ์ที่สะอาดเรียบร้อย และแสดงวันหมดอายุอย่างชัดเจน

การเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ปลอดภัยและมาตรฐานสูงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยง และทำให้ผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์เป็นที่น่าพอใจ